Tag Reflection
ได้ยินคำว่า tag blog มาก่อนหน้านี้เกือบเดือนเห็นจะได้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร จนเมื่อบังเอิญเปิดบล็อกของน้องก้าน แล้วเจอชื่อเราอยู่ข้างท้ายกับอีกสองชื่อ จึงเข้าใจในทันทีว่า tag blog มีที่ไปที่มาอย่างไร
ปัญหาที่ตามมาคือไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรลงไป และควรจะเขียนอย่างไร จนเมื่อได้อ่าน Tag Victim จึงเข้าใจและคิดว่าพอจะเขียน tag กับเขาได้บ้าง เริ่มกันเลยแล้วกัน
ข้อแรก
นอกจากที่บ้านคงยังไม่มีใครหรือน้อยคนที่จะรู้ว่า เราเคยอยากเรียนวิศวะมากๆ ตอน ม.3 ตั้งใจว่าจะไม่เรียนต่อม.4 และไปสอบเข้าเทคโนพระจอมเกล้าพระนครเหนือเพื่อเรียนปวช.ทางสายช่างโดยตรง แต่ก็สอบไม่ติด จึงต้องจำใจเรียนร.ร.เดิม (รร.มัธยมวัดมกุฏกษัตริย์) การเรียน ม.4 นี้ทำให้ความคิดของเราเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และไม่คิดอยากกลับไปเรียนวิศวะอีกแต่ก็ได้เรียนจนได้ ตอนกลางวันอยู่ที่โรงเรียนมีเพื่อน กลับบ้านต้องขึ้นห้องทำการบ้านอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกวัน ตอนนั้นอยู่บ้านอาที่เคี่ยวเข็ญให้อ่านหนังสือทุกวัน แต่พออยู่ในห้องคนเดียวเราใช้หนังสือการ์ตูน (คินดะอิจิ, โคนัน, โจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ ฯลฯ) นิตยสาร (a day) และวิทยุ ([V]FM จนเป็น Fat Radio, ถามมาซิจ๊ะโดน, หนังหน้าไมค์) เป็นเพื่อน ส่วนหนังสือเรียนก็วางอยู่ในบนชั้นของมันไม่ค่อยได้เปิดผ่านสายตาเท่าไร จากคนชอบอ่านจึงกลายเป็นคนอยากเขียน ทำงานด้านการเขียนมาจนถึงวันนี้
ข้อต่อไป
ตอนที่เราเด็กๆ ยังไม่ประสีประสา คงเห็นว่าไอน้ำที่ลอยขึ้นเหนือน้ำนั้นล่องลอยไปมาเหมือนปุยเมฆจึงอยากจะคว้าเอามาเล่น ใช้มือทั้งสองจุ่มลงไปในน้ำร้อนที่ตั้งทิ้งไว้จนเป็นแผลพุพองทั้งสองข้าง แต่เมื่อโตขึ้นกลับไม่เห็นร่องรอยของบาดแผล เราไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์นี้มานานมากแล้วจนเมื่อได้รับ tag และต้องคิดและเขียนเรื่องของตัวเองนี่แหละ
ข้อกลาง
เป็นคนที่ไม่เคยนึกจะดูหนังรักโรแมนติกเลยให้ตายสิ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่ดูแล้วมักจะซึ้งจนเกิดเหตุ บ่อน้ำตาตื้นเขินขึ้นมาทันทีทันใด แต่ถ้ามีคนชวนไปดูก็ไปนะ หนังอีกประเภทที่ทำให้ต่อมน้ำตาทำงานได้ก็พวกหนังที่มีอารมณ์ฮึกเหิมเหมือนมีอะไรไม่รู้มากระจุกตรงคอ หรือแม้แต่โฆษณาเทิดพระเกียรติก็ทำให้น้ำตาลไหลเอาง่ายๆเลย เสียน้ำตาให้กับหนังพวกนี้บ่อยกว่าเรื่องชีวิตตัวเองเสียอีก ถ้าให้นึกว่าร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไรคงต้องย้อนไปเกือบ 20 ปีล่ะมั้ง จำไม่ได้แล้ว จริงๆ
ข้อรองสุดท้าย
เราเป็นอาการที่เรียกว่า 'เพลงเดิมซ้ำๆ ซินโดรม' มีอาการฟังเพลงเดิมได้เป็นร้อยๆ ครั้งเปิดวนไปวนมา ให้มัน Repeat One อยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย มันก็ช่วยให้มีสมาธิได้ด้วยเหมือนกัน ตอนที่เขียน tag นี้อยู่นี้เพลง Bad Day ของ Daniel Powter ก็วนซ้ำอยู่ บางทีก็ไม่ได้ฟังเพลงหรอก เพียงแต่ว่าความรู้สึกรวม แล้วมันคล้ายเพลงที่เปิดไม่ใช่เนื้อหาที่คล้ายแต่เป็นดนตรีมากกว่าที่สร้างความรู้สึกขึ้น หรือว่าชอบเพลงไหนมากเป็นพิเศษในเวลานั้นก็จะเปิดวน ตอนที่ยังใช้ winamp ฟังเพลงนั้น เพลงที่ทำให้เกิดอาการเท่าที่จำได้ก็เช่น 'วันที่ฉันป่วย' ของArmchair, 'Just a Little Bit' ของLimousine ฯลฯ แต่พอเปลี่ยนมาใช้ iTune ฟังเพลงมันก็กลายพันธุ์เป็น 'อัลบั้มเดิมซ้ำๆ ซินโดรม' อัลบั้มที่ทำให้เกิดอาการก็เช่น 20 ปีเบิร์ดกับฮาร์ท, แดดส่อง:moderndog, Beautiful Ride:ปาล์มมี่ เป็นต้น
ข้อสุดท้าย
เรารู้สึกว่า การเขียนเรื่องของตัวเราเองนั้นยากกว่าเขียนเรื่องสั้นหรือเรื่องคนอื่น เนื่องจาก tag นี้ใช้เวลาในการเขียนนานมาก หรือเพราะว่า เรารู้จักตัวเองน้อยไป
the next tag blogs are
wichstandup wichstandup wichstandup wichstandup wichstandup
ปัญหาที่ตามมาคือไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรลงไป และควรจะเขียนอย่างไร จนเมื่อได้อ่าน Tag Victim จึงเข้าใจและคิดว่าพอจะเขียน tag กับเขาได้บ้าง เริ่มกันเลยแล้วกัน
ข้อแรก
นอกจากที่บ้านคงยังไม่มีใครหรือน้อยคนที่จะรู้ว่า เราเคยอยากเรียนวิศวะมากๆ ตอน ม.3 ตั้งใจว่าจะไม่เรียนต่อม.4 และไปสอบเข้าเทคโนพระจอมเกล้าพระนครเหนือเพื่อเรียนปวช.ทางสายช่างโดยตรง แต่ก็สอบไม่ติด จึงต้องจำใจเรียนร.ร.เดิม (รร.มัธยมวัดมกุฏกษัตริย์) การเรียน ม.4 นี้ทำให้ความคิดของเราเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และไม่คิดอยากกลับไปเรียนวิศวะอีกแต่ก็ได้เรียนจนได้ ตอนกลางวันอยู่ที่โรงเรียนมีเพื่อน กลับบ้านต้องขึ้นห้องทำการบ้านอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกวัน ตอนนั้นอยู่บ้านอาที่เคี่ยวเข็ญให้อ่านหนังสือทุกวัน แต่พออยู่ในห้องคนเดียวเราใช้หนังสือการ์ตูน (คินดะอิจิ, โคนัน, โจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ ฯลฯ) นิตยสาร (a day) และวิทยุ ([V]FM จนเป็น Fat Radio, ถามมาซิจ๊ะโดน, หนังหน้าไมค์) เป็นเพื่อน ส่วนหนังสือเรียนก็วางอยู่ในบนชั้นของมันไม่ค่อยได้เปิดผ่านสายตาเท่าไร จากคนชอบอ่านจึงกลายเป็นคนอยากเขียน ทำงานด้านการเขียนมาจนถึงวันนี้
ข้อต่อไป
ตอนที่เราเด็กๆ ยังไม่ประสีประสา คงเห็นว่าไอน้ำที่ลอยขึ้นเหนือน้ำนั้นล่องลอยไปมาเหมือนปุยเมฆจึงอยากจะคว้าเอามาเล่น ใช้มือทั้งสองจุ่มลงไปในน้ำร้อนที่ตั้งทิ้งไว้จนเป็นแผลพุพองทั้งสองข้าง แต่เมื่อโตขึ้นกลับไม่เห็นร่องรอยของบาดแผล เราไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์นี้มานานมากแล้วจนเมื่อได้รับ tag และต้องคิดและเขียนเรื่องของตัวเองนี่แหละ
ข้อกลาง
เป็นคนที่ไม่เคยนึกจะดูหนังรักโรแมนติกเลยให้ตายสิ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่ดูแล้วมักจะซึ้งจนเกิดเหตุ บ่อน้ำตาตื้นเขินขึ้นมาทันทีทันใด แต่ถ้ามีคนชวนไปดูก็ไปนะ หนังอีกประเภทที่ทำให้ต่อมน้ำตาทำงานได้ก็พวกหนังที่มีอารมณ์ฮึกเหิมเหมือนมีอะไรไม่รู้มากระจุกตรงคอ หรือแม้แต่โฆษณาเทิดพระเกียรติก็ทำให้น้ำตาลไหลเอาง่ายๆเลย เสียน้ำตาให้กับหนังพวกนี้บ่อยกว่าเรื่องชีวิตตัวเองเสียอีก ถ้าให้นึกว่าร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไรคงต้องย้อนไปเกือบ 20 ปีล่ะมั้ง จำไม่ได้แล้ว จริงๆ
ข้อรองสุดท้าย
เราเป็นอาการที่เรียกว่า 'เพลงเดิมซ้ำๆ ซินโดรม' มีอาการฟังเพลงเดิมได้เป็นร้อยๆ ครั้งเปิดวนไปวนมา ให้มัน Repeat One อยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย มันก็ช่วยให้มีสมาธิได้ด้วยเหมือนกัน ตอนที่เขียน tag นี้อยู่นี้เพลง Bad Day ของ Daniel Powter ก็วนซ้ำอยู่ บางทีก็ไม่ได้ฟังเพลงหรอก เพียงแต่ว่าความรู้สึกรวม แล้วมันคล้ายเพลงที่เปิดไม่ใช่เนื้อหาที่คล้ายแต่เป็นดนตรีมากกว่าที่สร้างความรู้สึกขึ้น หรือว่าชอบเพลงไหนมากเป็นพิเศษในเวลานั้นก็จะเปิดวน ตอนที่ยังใช้ winamp ฟังเพลงนั้น เพลงที่ทำให้เกิดอาการเท่าที่จำได้ก็เช่น 'วันที่ฉันป่วย' ของArmchair, 'Just a Little Bit' ของLimousine ฯลฯ แต่พอเปลี่ยนมาใช้ iTune ฟังเพลงมันก็กลายพันธุ์เป็น 'อัลบั้มเดิมซ้ำๆ ซินโดรม' อัลบั้มที่ทำให้เกิดอาการก็เช่น 20 ปีเบิร์ดกับฮาร์ท, แดดส่อง:moderndog, Beautiful Ride:ปาล์มมี่ เป็นต้น
ข้อสุดท้าย
เรารู้สึกว่า การเขียนเรื่องของตัวเราเองนั้นยากกว่าเขียนเรื่องสั้นหรือเรื่องคนอื่น เนื่องจาก tag นี้ใช้เวลาในการเขียนนานมาก หรือเพราะว่า เรารู้จักตัวเองน้อยไป
the next tag blogs are
wichstandup wichstandup wichstandup wichstandup wichstandup
ความคิดเห็น
มาเยี่ยมค่ะ
แล้วจะแมอ่านเรื่อยๆค่ะ
ช่วงนี้เพลงนี้ i see you, you see me ของวง the magic numbers เป็นเพลงซ้ำประจำฟังทั้งวัน